30/05/2023 08:53 AM
|
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ sbobet-online เรารับพนันกีฬาเอเชี่ยนแฮนดีแคพ และ คาสิโนออนไลน์แบบ ไลฟ์ดีลเลอร์
Highlights

ประกาศประชาสัมพันธ์จากทาง Sbobet-online.co
กรุณาอ่านก่อนโอนเงินทุกครั้ง >> คลิกอ่านที่นี่ <<

ท่านสามารถสมัครสมาชิกผ่านคอลเซ็นเตอร์ได้ที่เบอร์
092-267-0022 , 092-267-0044 , 092-267-0066, 092-267-0088
หรือ
สมัครสมาชิกผ่านระบบออนไลน์ที่นี่

เล็งไว้ตั้งนานแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตัว

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เคยอยากได้ตัว เจดอน ซานโช่ ตั้งแต่สมัยยังเป็นแข้งวัยเยาว์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และกำลังจะย้ายทีม แต่น่าเสียดายที่ “เรือใบสีฟ้า” ไม่ยอมขายแข้งให้กับทีมในลีกเดียวกัน สุดท้าย ปีกชาวอังกฤษ ก็ย้ายไปโด่งดังกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เคยยอมรับพยายามพูดคุยกับบอร์ดบริหารสโมสรเกี่ยวกับโอกาสในการคว้าตัว เจดอน ซานโช่ ปีกฟอร์มฮอตชาวอังกฤษ ตั้งแต่สมัยที่นักเตะกำลังจะย้ายหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2017 แต่สุดท้ายไม่สำเร็จเนื่องจากติดปัญหาบางเรื่อง

“เดอะ เร้ดส์” แสดงความสนใจในตัว ดาวเตะวัย 20 ปีมาตั้งแต่ตอนที่เขากำลังจะโบกมือลาถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยในเวลานั้น คล็อปป์ ยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ได้รับทราบข่าวดังกล่าวแต่ไม่สามารถที่จะกระชาก ซานโช่ มาร่วมทัพได้ โดยมีเหตุผลเดียวนั่นก็คือสโมสรในอังกฤษ ไม่อยากขายนักเตะให้กับทีมในลีกเดียวกัน

สุดท้าย ซานโช่ ย้ายไปอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 8 ล้านปอนด์ (ราว 304 ล้านบาท) เท่านั้น และนักเตะประสบความสำเร็จอย่างสูงจนตอนนี้ว่ากันว่าค่าตัวพุ่งไปกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท)

คล็อปป์ กล่าวถึงเกี่ยวกับความสนใจในตัว ซานโช่ ในปี 2019 ว่า “การซื้อนักเตะชาวอังกฤษเป็นแนวคิดที่ฉลาดมากๆ (สำหรับทีมในบุนเดสลีกา) เพราะเราไม่มีโอกาสที่จะได้ตัว ซานโช่ แน่นอน เราไม่ได้หูหนวกตาบอด เราได้เห็นผลงานของเขา เราชื่นชอบเขา และจากนั้นเราก็คิดว่า – เราจะได้ตัวเขามาร่วมทีมไหม ?- ไม่มีทาง”

“เหตุผลก็เพราะสโมสรในอังกฤษไม่ยอมขายนักเตะให้กับทีมในอังกฤษด้วยกัน ผมไม่รู้เหตุผลจริงๆ ว่ามันเป็นเพราะอะไรสำหรับเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่ยอมขาย ตอนนี้พวกเขา (นักเตะหลายๆ คน) ย้ายไปเล่นในเยอรมนี ซึ่งเป็นลีกที่สุดยอดมากๆ” คล็อปป์ กล่าว

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่ คล็อปป์ จะได้ร่วมงานกับ ซานโช่ หลังมีรายงานว่า ปีกทีมชาติอังกฤษ อยากย้ายมาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ มากกว่าไปเล่นให้ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เนื่องจาก “หงส์แดง” มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าทีของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกทางนี้

หาก อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้งแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ได้ย้ายขึ้นเหนือมาอยู่ที่ แอนฟิลด์ แน่นอน
อาร์เซน่อล พร้อมจ่ายค่าเหนื่อยระดับ 170,000 ปอนด์ เพื่อขยายสัญญาฉบับใหม่ ส่วน เชลซี ก็เสนอโอกาสที่ดีกว่านั้น ด้วยการประเคนเงินด้วยจำนวนที่มากกว่า แถมยังไม่ต้องย้ายไปไหน อยู่ในกรุงลอนดอน เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โน้มน้าวให้เขากล้าที่จะก้าวออกจากความสะดวกสบายกับชีวิตในเมืองหลวง แดนผู้ดี คือความทะเยอทะยาน หาใช่เรื่องเงินในบัญชี
ซึ่งสุดท้าย อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เลือกย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์..
ช่วงปีสุดท้ายของสัญญากับ อาร์เซน่อล อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หงุดหงิดกับชีวิตตัวเอง เขารู้สึกว่าหลายอย่างมันน่าเบื่อ ไม่มีความสุขเลยที่ถูก อาร์แซน เวนเกอร์ จับโยกไปเล่นหลายตำแหน่ง โดยสถานะในตอนนั้นเหมือนเป็นเพียงอะไหล่ที่คอยเติมไปอุดช่องโหว่ที่ว่างอยู่ ซึ่งจริง ๆ สิ่งที่เขาโหยหามากที่สุดคือการได้เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง

อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน นั่งมองจากระยะไกลด้วยความอิจฉานิด ๆ ที่เห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ชุบชีวิต ลิเวอร์พูล กลับขึ้นมา พร้อมช่วยให้นักเตะหลายคนเล่นได้เต็มศักยภาพ และพอได้รับคำแนะนำถึงเรื่องการทำงานร่วมกับ คล็อปป์ จาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ อดัม ลัลลาน่า เขาก็อยากได้รับโอกาสเพื่อพัฒนาฝีเท้าแบบนั้นบ้าง

และเหตุผลที่ แชมเบอร์เลน เลือกมาเล่นที่นี่ ก็เพราะอยากเป็นกำลังหลักของทีมที่มีดีพอสำหรับการเป็นแชมป์
แน่นอน..เรื่องคว้าโทรฟี่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจของเขาเป็นสิ่งที่ถูก เมื่อมองถึงเรื่องที่ว่า อาร์เซน่อล ยังไม่ได้แชมป์อะไรเลยนับตั้งแต่ แชมเบอร์เลย ย้ายออกมา

อย่างไรก็ดี เขายังต้องทำงานหนักมากขึ้นอีกพอตัวเพื่อการได้เป็นตัวจริงในทีมของ คล็อปป์..

87 นัดทุกรายการที่ แชมเบอร์เลน ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล นั้น เป็นการลงเล่นในฐานะตัวจริงเพียง 46 เกมเท่านั้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ แชมเบอร์เลน ต้องพยายามพิสูจน์ให้ คล็อปป์ เชื่อได้ว่าตัวเองสามารถเล่นจนจบเกมไหว เพราะตลอดทั้งซีซั่นนี้ ไม่มีนัดไหนเลยที่เขาได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ครบ 90 นาทีเต็ม

มิหนำซ้ำ มิดฟิลด์วัย 26 กะรัตยังต้องยอมรับให้ได้ในวันที่ถูกจับไปเล่นตัวริมเส้นมากกว่าเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ซึ่งความจริงมันฟ้องว่ามีแค่ 25 นัดจาก 41 เกมเท่านั้น(รวมทุกรายการ) ในซีซั่นนี้ที่เขาได้ลงเล่นตำแหน่งที่ต้องการ

อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน มีทั้งช่วงทุกข์และสุขในทีมลิเวอร์พูล..

ช่วงแรก ๆ ของขวบปีแรกกับลิเวอร์พูล แชมเบอร์เลน เจอความยากลำบาก เขาต้องรอจนถึงเดือนพฤศจิกายนกว่าจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก นัดแรก เนื่องจากก่อนหน้านั้น คล็อปป์ พยายามปรับแท็กติกให้เหมาะกับเขาเต็มที่ผ่านทางการซ้อม

สุดท้าย เขาก็ปรับตัวลงล็อกและทำผลงานได้โดดเด่น แชมเบอร์เลน ยกระดับแผงกลาง ลิเวอร์พูล ให้มีมิติแบบใหม่ทั้งด้านการเล่นอันทรงพลังและการขึ้นเกมที่รวดเร็ว

แชมเบอร์เลน ทำแบบที่ว่าได้จากการที่ตัวเองวิ่งทะลุทะลวงได้ดีและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างเล็ก ๆ ได้ยอดเยี่ยม
เขาเคยทำประตูสุดสวยในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศนัดที่ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทว่ามาเจอฝันร้ายจากอาการบาดเจ็บตรงหัวเข่าอย่างรุนแรงในจังหวะปะทะกับ อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ ของ โรม่า ในรอบรองชนะเลิศของเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนาม แอนฟิลด์
“เราจะรอ อเล็กซ์ ด้วยความอดทน เหมือนกับภรรยาที่แสนดีที่รอให้สามีได้ออกจากคุก” คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ แชมเบอร์เลน เข้ารับการผ่าตัด

หลังเกมที่ ลิเวอร์พูล แพ้ต่อ เรอัล มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศที่กรุงเคียฟ มีภาพที่เขาใช้ไม้ค้ำช่วยเดินและร้องไห้อย่างหนักแพร่ออกมา
การทำกายภาพบำบัดมันหนักหนาสาหัสมากและ แชมเบอร์เลน ก็ต้องทำแบบนั้นในตอนที่อยู่คนเดียว แต่เขาก็ทำให้นักเตะและสตาฟฟ์ในทีมชอบเขามากขึ้นไปอีก จากการที่รับมือกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่ เมลวู้ด ได้ดี

การทำงานการกุศลให้กับ ซูส์ พาเลซ (Zoe’s Place) ซึ่งเป็นคลินิกสำหรับเด็กภายในเมืองลิเวอร์พูล ช่วยให้ แชมเบอร์เลน เป็นคนที่มีความคิดที่มีเหตุมีผล นอกจากนี้เขายังเป็นหนี้บุญคุณการสนับสนุนจาก เพอร์รี่ เอ็ดเวิร์ดส์ ป๊อปสตาร์ที่มีสถานะเป็นแฟนสาวอีกด้วย

หลังพักไปนาน 367 วัน แชมเบอร์เลน กลับมาเล่นในเกมเจอ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ที่ แอนฟิลด์ ซึ่งเป็นเกมที่เต็มไปด้วยอารมณ์คลุกครั่ง

ที่จริงถ้าจะบอกว่าเขาแทบไม่มีส่วนร่วมในฤดูกาล 2018/19 เลยก็ว่าได้ เพราะ แชมเบอร์เลน ลงเล่นเป็นตัวสำรองแค่ 2 นัด และไม่มีชื่อติดทีมในเกมนัดชิงฯ ที่ ลิเวอร์พูล ชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

สัญญาฉบับใหม่ที่ แชมเบอร์เลน ได้รับเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อตัวเขามาก เพราะเหมือนกับว่าสโมสรได้ชดเชยเวลา 1 ปีที่ตัวเองหายไปจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งทำให้ แชมเบอร์เลน ได้อยู่กับทีมไปจนถึงช่วงซัมเมอร์ปี 2023 โดยในซีซั่นนี้พอเขาฟื้นตัวกลับมา ฟอร์มในสนามก็พาให้ไปติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง

ในส่วนของเจ้านายใหญ่ คล็อปป์ เองก็เชื่อใจให้เขาลงเล่นทั้งใน ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และศึกชิงแชมป์สโมสรโลกที่ทีมต่างก็คว้าแชมป์มาครองได้ในท้ายที่สุดทั้ง 2 รายการ

ช่วงเดือนตุลาคม ปีก่อน เกมเจอกับ เกงค์ ที่สนาม ลูมินัส อารีน่า อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการทำ 2 ประตู ถึงกระนั้น คล็อปป์ ก็ยังอยากให้เขาเล่นให้ดีกว่านี้อีกในจังหวะที่ไม่ได้ครอบครองบอล
“ฟอร์มของ อ็อกซ์ ก็เหมือนกับฟอร์มของทีมนั่นแหละ ประตูที่เขาทำได้มันยอดดเยี่ยมก็จริง แต่เรื่องอื่น ๆ ก็ควรจะออกมาดีกว่านี้”

“การหาความไหลลื่นในการเล่นและจังหวะการเล่นให้เจออีกครั้งมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เลย” คล็อปป์ ระบุ

ด้าน เป๊ป ลินเดอร์ส ผู้ช่วยโค้ชของ ลิเวอร์พูล เคยพูดเกี่ยวกับสไตล์การเล่นของ แชมเบอร์เลน ทำให้ ลิเวอร์พูล มีจังหวะการเล่นที่ต่างออกไป แต่อีก 9 เดือนต่อมาก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก

ซึ่งเรื่องความคงเส้นคงวาเป็นปัญหาของเขาจริง ๆ

อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ถือเป็นคนที่ทำประตูมากสุดเป็นอันดับ 4 ของทีมในฤดูกาลนี้ ด้วยการยิงไป 8 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ หรือจะพูดอีกแบบก็คือเขาเป็นรองเพียง 3 แนวรุกตัวจริงของทีมในด้านนี้

ตัว แชมเบอร์เลน เองเป็นคนที่ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่ามีจุดไหนบ้างที่เขายังต้องปรับปรุง

เขามีนิสัยเป็นคนชอบตำหนิตัวเองอยู่แล้ว และบางครั้งก็แสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งครั้งที่ชัดเจนมากสุดคงหนีไม่พ้นตอนที่นั่งลงด้วยท่าทีฉุนเฉียวหลังโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ แอนฟิลด์

ในภายหลัง แชมเบอร์เลน ยืนยันว่าที่ตัวเองหงุดหงิดเป็นเพราะเขา -ไม่สามารถทำผลงานได้ดีตามที่ตัวเองตั้งเป้าหมายเอาไว้- ไม่ใช่เพราะการที่ คล็อปป์ ถอดออกจากสนาม

“ผมยังสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ในแง่ของคุณภาพแล้วนั้นผมผิดหวังกับตัวเองนิด ๆ ” แชมเบอร์เลน ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมที่ชนะ เวสต์แฮม ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี คล็อปป์ เตือน แชมเบอร์เลน ว่าอย่าเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป โดย คล็อปป์ เคยพูดให้กำลังใจลูกทีมคนนี้ในตอนที่มีการพูดถึงคุณภาพของขุมกำลัง ลิเวอร์พูล ช่วงสัปดาห์ก่อนที่ลีกจะปิดซีซั่น

“อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน น่ะ เล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ ต่อให้เขาจะไม่ได้เป็นตัวจริงก็ตาม เขาแทบจะเป็นคนที่ทำให้เราชนะ ซิตี้ ในช่วงราว 1 ปีก่อนเลยก็ว่าได้”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้เล่นได้แย่ลงเลย ซึ่งการอยู่ในระดับเดิมอยู่ตลอดน่ะไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ ” คล็อปป์ ว่าเอาไว้แบบนี้

“ผมชอบเขานะ เขาเป็นนักเตะที่ดี เขาทำบางอย่างที่แตกต่างให้ทีมได้”

“เขามีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม แต่ผมก็ยังรอให้เขาโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมแบบหลายเกมติดต่อกันสักทีอยู่เหมือนกัน” แกรม ซูเนสส์ อดีตกองกลางระดับตำนานของทีม กล่าวระหว่างทำหน้าที่กูรูกับ สกายสปอร์ตส์

มันแน่นอนล่ะว่า แชมเบอร์เลน เป็นนักเตะที่ดีพอจนสมควรที่จะร่วมงานด้วย

1 ประตูในเกมกับ เชลซี และ 1 แอสซิสต์ในเกมนัดสุดท้าย คงจะเสริมสร้างกำลังใจให้ตัวเขารวมถึงเรียกความเชื่อมั่นจากคนรอบข้างได้ไม่มากก็น้อย
ทั้งในและนอกสนาม อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เป็นผู้เล่นที่ดูมีคุณภาพของ ลิเวอร์พูล แต่ภารกิจของเขาในการพัฒนาตัวเองจากการเป็นอะไหล่สารพัดประโยชน์ที่มีคุณค่าไปสู่การเป็นกำลังหลักของทีมยังต้องลากยาวไปจนถึงฤดูกาลหน้า

แล้วเวลาจะเป็นสิ่งที่ให้คำตอบ..

วิลเลี่ยน เนื้อหอมมาก 5 ทีมดังไล่ล่าตัว

วิลเลี่ยน กองกลางแซมบ้า กลายเป็นนักเตะเนื้อหอม หลังเตรียมลา เชลซี เผยมี 5 ทีมที่อยากได้ลายเซ็น โดยในนั้นเป็น 2 ทีม พรีเมียร์ลีก
เคีย จูรับเชียน เอเยนต์ของ วิลเลี่ยน ปีกประสบการณ์สูง เชลซี เปิดเผยว่า นักเตะในความดูแลของตนได้รับข้อเสนอจาก 5 สโมสร ก่อนที่จะหมดสัญญากับ “สิงห์บลูส์” หลังจบเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ กับ อาร์เซน่อล ที่สนาม เวมบลีย์ วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคมนี้

ดาวเตะบราซิเลียน วัย 31 ปี เป็นนักเตะเนื้อหอม โดยมีข่าวพัวพันกับทั้ง อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ อินเตอร์ ไมอามี่ ทีมในศึกเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (เอ็มแอลเอส) สหรัฐอเมริกา

จูรับเชียน เผยผ่าน ทอล์คสปอร์ต สื่อกีฬาแดนผู้ดีเมื่อวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า “ผมไม่คิดว่า เขาจะเปลี่ยนใจ (อยู่เล่นให้ เชลซี ต่อ) เราได้รับข้อเสนอจากหลายทีม หนึ่งในนั้นมาจาก เมเจอร์ลีก ซึ่งต้องการเข้าตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม แต่เขาต้องการอยู่เล่นให้ เชลซี จนจบฤดูกาลเสียก่อน แล้ว 1 วันหลังจากซีซั่นปิด เขาถึงจะตัดสินใจ”

“เขาได้รับข้อเสนออย่างจริงจังจาก 2 สโมสรใน พรีเมียร์ลีก รวมทั้ง 1 ทีมจาก เมเจอร์ลีก และอีก 2 ทีมในยุโรป เขาจะทำการตัดสินใจหลังเล่นเกมสุดท้ายของฤดูกาล” เอเยนต์คนดัง กล่าวทิ้งท้าย โดยไม่ยอมบอกว่า 2 ทีม พรีเมียร์ลีก คือสโมสรไหนบ้าง

“แลมพาร์ด” ปะทะเดือด ลินเดอร์ส ข้างสนาม

สื่อผู้ดี เปิดคลิป แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ เชลซี ทะเลาะกับสตาฟฟ์โค้ช “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในจังหวะที่เจ้าบ้านได้ลูกฟรีคิกก่อนที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะซัดเข้าประตูให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ในแมตช์ที่ “เดอะ เร้ดส์” ทุบ “สิงห์บลูส์” 5-3 โดยงานนี้ทั้งภาพและเสียงชัดแจ๋ว เพราะไม่มีเสียงของแฟนบอลในสนามทำให้ถอดข้อความได้อย่างง่ายได้
เดอะ มิร์เรอร์ สื่อดังในประเทศอังกฤษ เปิดเผยข้อความที่แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมเชลซี ตบะแตกทะเลาะกับ เปปิน ลินเดอร์ส ผู้ช่วยโค้ช “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในช่วงครึ่งแรกจนเป็นเหตุบานปลายทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ต้องเข้ามาห้ามทัพ ก่อนจะโดนลูกหลงไปด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวะที่ อังเดร มาร์รีเนอร์ ผู้ตัดสินเป่าให้ “เดอะ เร้ดส์” ได้ฟรีคิกหลังจากที่ มาเตโอ โควาซิช เสียบ ซาดิโอ มาเน่ โดยท่านเปาได้อธิบายกับ ดาวเตะชาวโครเอเชีย ให้เข้าใจว่าถึงแม้จะสกัดโดนบอล แต่ก็ไปสัมผัสโดนขาของ สตาร์ชาวเซเนกัล จนเป็นเหตุผลเสียจังหวะและล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น

จังหวะนั้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จัดการสังหารฟรีคิกอย่างงดงาม แต่ก่อนหน้าที่จะยิงประตูนี้ ได้เกิดเหตุการณ์เดือดบริเวณริมเส้นข้างสนาม เนื่องจาก “แลมพ์ส” ไม่พอใจคำตัดสิน โดยตะโกนออกมาว่า “มันฟาวล์ได้ยังไง ? มันไม่ฟาวล์เลย !” ซึ่งเขาพูดแบบนั้นพร้อมหน้าไปที่พื้นที่เทคนิคของ ลิเวอร์พูล และงานนี้ ลินเดอร์ส ก็ไม่พอใจพร้อมกับยืนเถียงด้วยคำหยาบ

“นั่งลงไปเลย” แลมพาร์ด ตะคอกใส่มือขวาคล็อปป์ ก่อนที่ ลินเดอร์ส จะกลับลงไปนั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ในขณะเดียวกัน กุนซือเลือดด๊อยท์ช ยังได้บอกให้ ลินเดอร์ส นั่งลง พร้อมกับหันไปพูดกับ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาตอังกฤษว่า “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ” และบอกต่อไปว่า “ไม่ต้องคุยกับมือขวาของผมก็ได้….”

แต่ คล็อปป์ ยังพูดไม่จบ แลมพาร์ด ก็พูดสวนขึ้นมาด้วยอามรณ์ฉุนเฉียวว่า “ไม่ ไม่ ถ้าหากนายมาพูดโวยวายแบบนี้ ข้าก็จะด่ากลับแบบนี้เหมือนกัน !” จากนั้น “แลมพ์ส” ก็เดินกลับไปยังพื้นที่เทคนิคของตัวเอง หลังจากที่ ลี เมสัน ผู้ตัดสินที่ 4 เข้ามาพูดคุย แต่จากนั้นก็มีเสียงตะโกนจากหนึ่งในสมาชิกที่อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง “หงส์แดง” ว่า “เห็นชัดๆ ว่าฟาวล์”

พอได้ยินแบบนั้น แลมพาร์ด ของขึ้นอีกและตะโกนกลับไปทันทีว่า “มันไม่ใช่ลูกฟาวล์โว๊ย ! ข้าไม่ได้ถามเอ็ง หุบปากไปเลย” พอถึงจุดนี้ คล็อปป์ ชักเริ่มโมโหก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เฮ้ยๆ !” จากนั้น แลมพาร์ด ก็สวนกลับมาทันทีว่า “พวกเอ็งมันห่วยแตก แกคิดว่าแกใหญ่นักเหรอ ห่วยแตกสิ้นดี”

จากนั้นผู้ตัดสินได้รีบเข้ามาห้ามผู้จัดการทีมทั้ง 2 คน และนำ แลมพาร์ด ออกไป แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ยอมจบง่ายๆ และก็เดินเข้ามาหา คล็อปป์ พร้อมกับฝากข้อความสุดท้ายไปยังทีมงานของเขาว่า “ช่วยบอกพวกเขาให้รู้จักเคารพกันหน่อย แล้วก็นั่งเฉยๆ”

30 ปีที่รอคอย ในที่สุดก็เป็นจริง

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์เลือดผู้ดีของ ลิเวอร์พูล สุดปลื้มที่ทำฝันเป็นจริงเมื่อนำ “หงส์แดง” ผงาดคว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการสิ้นสุดการรอคอยที่แสนยาวนานถึง 30 ปี พร้อมขอบคุณทุกๆ ในสโมสรที่ทำให้ตนพัฒนาจนกลายเป็นนักเตะที่แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กองกลางกัปตันทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดใจสุดมีความสุขที่นำสโมสรผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ และเป็นการสิ้นสุดการรอคอยมานานแสนนานถึง 30 ปี หลังจบเกมที่ไล่ถลุง เชลซี 5-3 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

“เฮนโด้” ไม่สามารถลงสนามช่วยต้นสังกัดในเกมสุดท้ายที่บ้านตัวเองสำหรับฤดูกาลนี้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายจากอาการบาดเจ็บ แต่เจ้าตัวมีแรงพอที่จะทำหน้าที่กัปตันทีมในการเดินขึ้นไปซอยเท้าชูโทรฟี่แชมป์ลีกอย่างยิ่งใหญ่

เฮนเดอร์สัน เปิดใจว่า “เรารอคอยเวลานี้มาแสนยาวนานเหมือนที่ผมเคยพูดเอาไว้ก่อนเกมนี้ การเดินทางในครั้งนี้มันช่างแสนมหัศจรรย์ นักเตะทุกคนสมควรได้รับช่วงเวลาแห่งค่ำคืนนี้ ขอบคุณครอบครัวทุกคนที่ได้ชมช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ผมฝันมาตลอด เพราะพรีเมียร์ลีกเป็นฝันของผมตั้งแต่เด็กๆ”

“นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่คุณย้ายมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล ก็เพื่อคว้าแชมป์ ทีมชุดนี้ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และช่วยผมพัฒนาเยอะมาก ดังนั้นผมต้องยกเครดิตให้กับพวกเขา และผมโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้ ผมตั้งตาคอยที่จะพัฒนามากยิ่งขึ้นในทุกๆ ซีซั่น” มิดฟิดล์ทีมชาติอังกฤษ กล่าว

สุดโหด กวาดทุกลีค

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงซูเปอร์สตาร์ ยูเวนตุส สร้างสถิติที่ใครก็ยากจะทำได้อีกแล้ว หลังเหมาสองตุงในเกม เซเรีย อา นัดล่าสุดที่เจอกับ ลาซิโอ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดกองหน้าชาวโปรตุกีสของ ยูเวนตุส กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์วงการลูกหนัง ที่ทำประตูได้อย่างน้อย 50 ลูก ทั้งในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลา ลีกา สเปน และ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี หลังเจ้าตัวกดประตูที่ 50 และ 51 ในเกม เซเรีย อา นัดล่าสุด ที่ทัพ “ม้าลาย” เปิดบ้านพิชิต ลาซิโอ 2-1 วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

สองประตูดังกล่าวของ โรนัลโด้ ทำให้ เซเรีย อา กลายเป็นลีกใหญ่ยุโรปลำดับที่สาม ที่เจ้าตัวทำได้อย่างน้อย 50 ลูก โดยก่อนหน้านี้ ดาวเตะวัย 35 ปี กระทุ้ง 84 ประตู ในศึก พรีเมียร์ลีก สมัยค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ปี 2003-2009) และทำได้มากถึง 311 ประตู ในเวที ลา ลีกา สมัยเล่นให้ เรอัล มาดริด (ปี 2009-2018)

อย่างไรก็ตาม หากมองกันที่การทำอย่างน้อย 50 ประตู ใน 3 จาก 5 ลีกใหญ่ยุโรป (อังกฤษ, สเปน, อิตาลี, เยอรมนี และ ฝรั่งเศส) เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่เฉพาะเจาะจงลีกล่ะก็ เอดิน เชโก้ หัวหอกร่างโย่งของ อาแอส โรม่า คือผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ แต่ในกรณีของ เชโก้ เป็น บุนเดสลีกา เยอรมัน, พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่งต่างกับ โรนัลโด้ ที่เป็น พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา และ กัลโช่ เซเรีย อา

โซลชา ออกโรงป้อง เด เคอา

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปกป้อง ดาบิด เด เคอา นายด่านทีมชาติสเปน ที่ทำพลาดจังหวะเสียประตูที่สองในเกมแพ้ เชลซี ตกรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุ โกล์สแปนิช รู้ตัวเองว่าควรเซฟให้ดีกว่านี้ แต่ทุกอย่างจบไปแล้ว และตอนนี้ “ปีศาจแดง” ต้องก้าวเดินต่อไป
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เผย ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูเลือดสแปนิช รู้ตัวว่าตัวเองทำผิดพลาดมหันต์ที่ไม่ป้องกันไม่ได้จนเป็นเหตุให้ทีมเสียประตูที่สอง ในแมตช์แพ้ เชลซี 1-3 ศึกเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา

จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลัง เมื่อ แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งส่งบอลพลาดทำให้ เมสัน เมาท์ ตัดได้และกระชากบอลเข้าไปยิงบริเวณกรอบเขตโทษ โดยบอลไม่ได้แรงมาก และตรงตัว เด เคอา แต่ นายทวารทีมชาติสเปน ดันปัดบอลเข้าประตูไปหน้าตาเฉย

สำหรับในกรณีนี้ โซลชา ได้แสดงความเห็นหลังโดนสื่อยิงคำถามเกี่ยวกับตำแหน่งผู้รักษาประตูในอนาคตว่า “แน่นอนว่าทุกๆ คนต้องโชว์ฟอร์มให้ดี และทุกๆ คนมีโอกาสมีโอกาสในทุกๆ ครั้งที่จะยึดตำแหน่งของพวกเขา ดาบิด รู้ว่าเขาควรจะเซฟจังหวะที่เสียประตูที่สองได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันจบไปแล้ว เราต้องก้าวเดินต่อไป มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้รักษาประตูที่จะชดเชย แม้ว่า ดาบิด จะโชว์จังหวะเซฟที่น่าเหลือเชื่อ 2 หรือ 3 ครั้งหลังจากนั้นก็ตาม”

” มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักเตะเอาท์ฟิลด์ (หมายถึงตำแหน่งอื่นๆ นอกจากผู้รักษาประตู) แต่ ดาบิด ก็แสดงให้เห็นมาตลอดว่าเขามักจะเซฟสวยๆ ได้หลายต่อหลายครั้ง แต่แน่นอนว่าเขารู้ตัวว่าเขาควรจะเซฟจังหวะนั้นให้ดีกว่านี้” อดีตหัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ กล่าว

ผีแดง อาจจะชวดดึงตัว “ฮาแวร์ตซ์”

สื่อดังเมืองเบียร์ปูด ไค ฮาแวร์ตซ์ มิดฟิลด์เนื้อหอม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ตัดสินใจเลือกต้นสังกัดใหม่ได้เรียบร้อย หลังมีข่าวเกี่ยวโยงกับสโมสรระดับท็อปเพียบ
ไค ฮาแวร์ตซ์ กองกลางดาวรุ่งคนเก่งของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น สโมสรดังในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน ได้ตัดสินใจเรียบร้อยที่จะย้ายไปร่วมทีม เชลซี สโมสรมหาเศรษฐีแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ช่วงซัมเมอร์นี้ ตามรายงานจาก คิกเกอร์ นิตยสารลูกหนังเมืองเบียร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

ฮาแวร์ตซ์ ถือเป็นนักเตะที่เนื้อหอมมากที่สุดคนหนึ่งในชั่วโมงนี้ โดยมีข่าวได้รับความสนใจจากทั้ง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงสองสโมสรยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุอย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า

ล่าสุด คิกเกอร์ ระบุว่า สตาร์ทีมชาติเยอรมนีวัย 21 ปี ตัดสินใจแล้วที่จะย้ายไปโชว์เพลงแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ และได้แจ้งความประสงค์ของตัวเองกับต้นสังกัดเรียบร้อย ขณะที่ บิลด์ สื่อกีฬาชั้นนำของเยอรมนี รายงานว่า “ห้างขายยา” ได้ตั้งค่าหัว ฮาแวร์ตซ์ ไว้ที่ 90 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,510ล้านบาท) และยินดีให้ “สิงห์บลูส์” แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ

สำหรับฤดูกาล 2019/20 ฮาแวร์ตซ์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ เลเวอร์คูเซ่น โดยกดไป 17 ประตู กับ 9 แอสซิสต์ จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 43 นัด

บาร์ซ่า เตรียมปล่อย 9 นักเตะเพื่อดึงตัวดาวรุ่งจาก อินเตอร์ มิลาน

สื่อสเปน ตีข่าว บาร์เซโลน่า พร้อมที่จะขายนักเตะ 9 รายออกไปเพื่อระดมทุนในการซื้อตัว เลาตาโร่ มาร์ติเนซ หัวหอกเลือดอาร์เจนไตน์จากอินเตอร์ มิลาน โดยงานนี้คงต้องใช้งบถึง 100 ล้านปอนด์หากต้องการนักเตะรายนี้มาเสริมทัพ
บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา สเปน เตรียมขายนักเตะ 9 คนเพื่อที่จะนำเงินไปซื้อ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กองหน้าฟอร์มฮอต อินเตอร์ มิลาน สโมสรแกร่งในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี จากการเปิดเผยของ มุนโด้ เดปอร์ติโบ สื่อชื่อดังในดินแดนกระทิงดุ

หนึ่งในแข้งที่อยู่ในรายชื่อ 9 แข้งที่กำลังจะโดนปักป้ายขายนั่นก็คือ จูเนียร์ ฟีร์โป้ แบ็กซ้ายวัย 23 ปี เนื่องจากทัพ “งูใหญ่” แสดงความสนใจอยากได้นักเตะรายนี้เช่นกัน ส่วนสตาร์คนอื่นๆ ที่เตรียมถูกปล่อยตัวเพื่อเป็นการระดมทุนสำหรับซื้อ หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ มีทั้ง อาร์ตูโร่ วิดัล และ ซามูเอล อุมติตี้ ซึ่ง อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจ เป็นต้น

มาร์ติเนซ วัย 22 ปี ซึ่งซัดไปแล้ว 13 ประตูจากการเล่น 29 เกมตลอดทุกรายการในฤดูกาลนี้ คาดว่าจะมีค่าตัวประมาณ 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท) โดยในช่วงต้นปีนี้ผู้อำนวยการกีฬาของ “เนรัซซูรี่” ยืนยันว่านักเตะจะย้ายไปเล่นกับ บาร์ซ่า ในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่จะต้องยอมจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาเท่านั้น

ทั้งนี้ “เจ้าบุญทุ่ม” หวังที่จะดึง มาร์ติเนซ มาร่วมทีมเพื่อทดแทน หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งมีปัญหาบาดเจ็บหัวเข่าตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมีรายงานจากสื่อสเปนว่า ดาวเตะเลือดฟ้าขาว กับ บาร์เซโลน่า ได้ตกลงสัญญาปากเปล่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเหตุผลที่ มาร์ติเนซ อยากย้ายไปเล่นในคัมป์ นู เพราะต้องการลงสนามร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ หัวหอกเพื่อนร่วมชาติ และไอดอลของเขา

โซลชา รู้สึกเซ็ง แต่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดผิดหวังที่ทีมโดน เซาธ์แฮมป์ตัน ตีเจ๊า 2-2 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ชี้เกมนี้ “ปีศาจแดง” เล่นไม่ดีพอด้วย
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับว่า ตนรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ทีมทำสองคะแนนหลุดมือช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หลังจากที่ทัพ “ปีศาจแดง” ทำได้แค่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-2 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

เซาธ์แฮมป์ตัน สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการได้ประตูขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 12 จากการยิงของ สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง ทว่านาทีที่ 20 แมนฯ ยูไนเต็ด ตามตีเสมอเป็น 1-1 ได้จากการยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และหลังจากนั้นแค่ 3 นาที เจ้าถิ่นพลิกเป็นฝ่ายขึ้นนำ 2-1 จากการยิงสุดคมของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ซึ่งสามแต้มกำลังจะตกเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่แล้ว แต่นาทีที่ 90+5 “นักบุญ” มาได้ประตูตีเจ๊า 2-2 จากการยิงระยะเผาขนของ ไมเคิ่ล โอบาเฟมี่

ผลการแข่งขันนัดนี้ทำให้ “ปีศาจแดง” พลาดขึ้นอันดับสามอย่างน่าเสียดาย โดยยังคงรั้งอันดับห้าเหมือนเดิม โดยมี 59 แต้ม จากการลงแข่ง 35 นัด ซึ่งเท่ากับ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับสี่ แต่ “จิ้งจอกสยาม” มีผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า

“เรามาเสียประตูในช่วงเวลาแบบนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก แต่ฟุตบอลมันสามารถเกิดอะไรแบบนี้ได้อยู่แล้ว คุณก็แค่พยายามกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และยอมรับมันให้ได้ เพราะที่ผ่านมาเราก็คว้าชัยชนะได้หลายเกม แน่นอน มันน่าผิดหวัง เพราะเรามีสามคะแนนเก็บอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว แต่บางทีวันนี้เราอาจไม่ดีพอที่จะเป็นผู้ชนะก็ได้” โซลชา กล่าวหลังเกม