24/09/2023 20:42 PM
|
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ sbobet-online เรารับพนันกีฬาเอเชี่ยนแฮนดีแคพ และ คาสิโนออนไลน์แบบ ไลฟ์ดีลเลอร์
Highlights

ประกาศประชาสัมพันธ์จากทาง Sbobet-online.co
กรุณาอ่านก่อนโอนเงินทุกครั้ง >> คลิกอ่านที่นี่ <<

ท่านสามารถสมัครสมาชิกผ่านคอลเซ็นเตอร์ได้ที่เบอร์
092-267-0022 , 092-267-0044 , 092-267-0066, 092-267-0088
หรือ
สมัครสมาชิกผ่านระบบออนไลน์ที่นี่

วิเคราะห์ปม ลิเวอร์พูล เจ๊า นาโปลี

ลิเวอร์พูล ยังคงรักษามาตรฐานในการเข้ารอบแบบยากเย็นแสนเข็นต่อไป ล่าสุดเปิดรังแอนฟิลด์ เสมอ นาโปลี 1-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มอี นัดห้า เมื่อวันพุธที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาต้องไปวัดการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในเกมเยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก
นาโปลี กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกสุดขีด แต่เมื่อไหร่ที่ดวลกับ “เดอะ เร้ดส์” พวกเขามักจะเล่นดีเสมอ และเกมนี้ก็เช่นกัน เมื่อ “อัซซูร่า” ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก ดรีส์ เมอร์เท่นส์ แต่กระนั้นเจ้าบ้านก็มาได้ประตูตีเสมอจาก เดยัน ลอฟเรน ในช่วงกลางครึ่งหลัง
แม้ว่าโดยรวมแล้ว ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าผู้มาเยือน แต่ดูเหมือนฟอร์มของพวกเขาค่อนข้างจะฝืดๆ โดยเฉพาะเกมรุกเพราะสามประสาน ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟอร์มค่อนข้างมีปัญหา และนี่คือสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาเป็นการด่วน หากอยากยืดอายุการป้องกันแชมป์โทรฟี่ “บิ๊กเอียร์” ต่อไป

1. ซาลาห์ ยังไม่เพอร์เฟกต์
หลังจากไม่ได้ลงเล่นในเกมเฉือน คริสตัล พาเลซ แน่นอนว่าแมตช์นี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หมายมั่นปั้นมือที่จะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาเพื่อช่วยให้ “หงส์แดง” คว้าชัยชนะ และตีตั๋วเข้าไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ทันที แต่กลายเป็นว่าฟอร์มของ “บังโม” ยังไม่แจ่มจัดปลัดบอกในเกมนี้
“คิง ออฟ อียิปต์” ลงเล่นต้นเกมด้วยการยืนเป็นแนวรุกริมเส้นฝั่งขวา โดยหวังจะปั่นป่วน คาลิดู คูลิบาลี่ แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวไม่สามารถกดดัน กองหลังทีมชาติเซเนกัล ได้เลย ที่สำคัญ คูลิบาลี ยังเป็นกำแพงเหล็กจัดการกับเกมบุก “เดอะ เร้ดส์” จนซ่าไม่ออก และยังสกัดบอลจากเส้นประตูจากการยิงของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ช่วยเซฟ “อัซซูร่า” ได้อย่างเหลือเชื่อ
ช่วงครึ่งหลัง คล็อปป์ ปรับหมากขยับ ซาลาห์ เข้าไปยืนตรงกลาง โดยให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่นริมเส้น เพื่อหมายจะใช้ความเร็วของ ซาลาห์ ในการเจาะเกมตรงกลาง แต่ สตาร์ดังทีมชาติอียิปต์ ก็ไม่สามารถทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย
มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ ซาลาห์ พยายามสลัดการประกบของ คูลิบาลี่ และโดนทั้งกระชากแขนกระชากคอ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย ฉะนั้นในแมตช์นี้ต้องยอมรับว่า “โม ซาลาห์” ยังเล่นได้ไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานที่เขาสร้างเอาไว้ตามที่สาวก “เดอะ ค็อป” คาดหวัง

2. ลอฟเรน ฟอร์มโดดเด่น
นับตั้งแต่ที่ โฌแอล มาติป ได้รับบาดเจ็บและอยู่ในชีวงพักฟื้นร่างกาย เดยัน ลอฟเรน ได้รับโอกาสจาก คล็อปป์ ให้ลงประสานงานคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งแน่นอนว่าแฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” คงรู้สึกใจหายใจคว่ำเพราะหวั่งว่า ดาวเตะชาวโครแอต จะปล่อยทีเด็ดทำทีมพัง….
ไปๆ มาๆ ลอฟเรน ทำผลงานได้ดีในระดับเกิดความคาดหวังเลยทีเดียว โดยในช่วงหลายเกมที่ลงสนาม สามารถเล่นได้เข้าขากับ ฟาน ไดค์ และมีส่วนในการช่วยทีมป้องกันจังหวะสำคัญอยู่บ่อยๆ แถมในส่วนเกมรุก ก็มักจะขึ้นมาช่วยทีมเวลาที่ได้ลูกฟรีคิก หรือเตะมุม
แมตช์กับ นาโปลี นั้น ลอฟเรน ทำผลงานได้ดีเลยทีเดียว โดยสามารถจัดการกับเกมรุกที่เร็วจี๊ดจ๊าดของ นาโปลี ได้อยู่หมัด ที่สำคัญยังมีส่วนในการทำให้ “หงส์แดง” แบ่งแต้มในแมตช์นี้ จากการขึ้นไปช่วยทีมกดดันคู่แข่งในจังหวะเตะมุม และนำไปสู่ประตูตีเสมอได้สำเร็จ
ตอนนี้คงต้องยอมรับว่า ลอฟเรน สามารถทำหน้าที่ได้น่าประทับใจ และในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น การไว้วางใจ ปราการเหล็กจากโครเอเชีย น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

3. “หนุ่มอ็อกซ์” ช่วยเปลี่ยนเกม
หลายคนคงต้องข้อสงสัยทำไม คล็อปป์ ถึงจัดทีมแปลกๆ ด้วยการส่ง โจ โกเมซ มายืนแบ็กขวาแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งผลงานในครึ่งแรกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นายใหญ่ชาวเยอรมัน คิดผิดมหันต์กับการวางหมากแบบนี้
ขณะเดียวกันการให้ เจมส์ มิลเนอร์ ยืนตรงกลางไม่สามารถประสานงานกับ ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้เลย แถมยิ่งดวงแตกเข้าไปอีกเมื่อทีมต้องมาเสีย “หมอปลา” ตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ต้องส่ง จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ลงมาเล่น แต่แดนกลางก็ยังคงเล่นไม่เข้าขา ทำให้ตกเป็นรองแผงมิดฟิลด์ทีมเยือน
แน่นอนว่าเกมนี้ตลอด 57 นาที แผงกลางของ “หงส์แดง” ขาดการบุกที่ดุดัน และสร้างสรรค์ แถมจังหวะการผ่านบอลสวยๆ ก็ไม่ค่อยดี จนกระทั่ง คล็อปป์ ตัดสินใจถอด โกเมซ ออก และส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงมาทำให้กองกลางเจ้าบ้านกลับมาครองเกมเหนือกว่าทันตาเห็น
ตลอดระยะเวลาที่ แชมเบอร์เลน ลงสนาม สามารถประสานงานกับ “เฮนโด้” และ ไวจ์นัลดุม ได้เป็นอย่างที่ โดยเฉพาะความดุดันและความเร็วของเขาจัดการเกมรับ นาโปลี ได้ตลอด ที่สำคัญก็คือการใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการทะลุทะลวงเข้าไปในกรอบเขตโทษ
ฉะนั้นหากคิดกันเล่นๆ ถ้า คล็อปป์ เลือกส่ง แชมเบอร์เลน ลงสนามตั้งแต่ต้นเกม หรืออาจจะส่งมาแทน ฟาบินโญ่ ที่บาดเจ็บ สถานการณ์ของ “หงส์แดง” อาจจะดูดีกว่านี้ แต่ในเมื่อย้อนอดีตไม่ได้ ฉะนั้นในแมตช์ต่อไป คล็อปป์ ควรให้โอกาส “หนุ่มอ็อกซ์” ได้ “โชว์ของ” มากกว่านี้

4.. เครียดแน่ขาด ฟาบินโญ่
ตอนนี้ ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ เมื่อเห็น ฟาบินโญ่ เดินออกจากสนามตั้งแต่ต้นเกมด้วยอาการบาดเจ็บ และงานนี้ต้องลุ้นหนักว่า สตาร์ชาวบราซิเลียน จะต้องพักนานแค่ไหน
จริงๆ แล้วเกมนี้นอกจาก ฟาบินโญ่ ได้รับบาดเจ็บแล้ว ฟาน ไดค์ ก็เกือบเดี้ยงเช่นกัน แต่เดชะบุญที่ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฮอลแลนด์ เจ็บไม่มากสามารถเล่นต่อได้ แต่ “หมอปลา” ไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากเขาต้องเดินกระโผลกกระเผลกออกจากสนาม
ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าแฟนบอล “หงส์แดง” รู้สึกกังวลมากแค่ไหนหากไม่มี ดาวเตะหมายเลข 3 ลงเล่น เพราะตอนนี้หากเลือกหนึ่งในนักเตะที่ ลิเวอร์พูล ขาดไม่ได้ ชื่อของ ฟาบินโญ่ ต้องลอยขึ้นมาทันที ดังนั้นสาวก “เดอะ ค็อป” คงต้องภาวนาให้ ฟาบินโญ่ แค่มีอาการบวกหรือข้อเท้าบิด มากกว่าเอ็นเสียหาย !!
สำหรับในเกมพรีเมียร์ลีก พบ ไบรท์ตัน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายนี้ แน่นอนว่า “เดอะ เร้ดส์” ไม่มี ฟาบินโญ่ ลงสนามเนื่องจากติดโทษแบน ซึ่งก็คือว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พักร่างกาย เพราะต้นเดือนธันวาคม ทีมต้องเจอโปรแกรมโหด ทั้งทำศึกดาร์บี้แมตช์พบ เอฟเวอร์ตัน ตามด้วย บอร์นมัธ และเยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ซึ่งเป็นเกมสำคัญตัดสินการเข้ารอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก

5. ลุ้นเหนื่อยที่ซัลซ์บวร์ก
สำหรับผลการแข่งขันในการเปิดบ้านเสมอ นาโปลี ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังต้องเหนื่อยหนักในการลุ้นเข้ารอบเข้า 16 ทีมสุดท้าย เพราะการไปเยือนเมืองซัลซ์บวร์ก ประเทศออสเตรีย เป็นสถานการณ์ที่หินสุดๆ สำหรับลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะต้องการเพียงแค่ 1 คะแนนในการเยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เพื่อเข้าไปป้องกันแชมป์ถ้วยใบโตยุโรป ขณะที่ นาโปลี น่าจะตีตั๋วเข้ารอบน็อกเอาต์เนื่องจากพวกเขามีคิวรับมือ นาโปลี ที่เมืองเนเปิ้ลส์ และโอกาสคว้า 3 คะแนนมีค่อนข้างสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
หากมองตามหน้าเสื่อและชื่อชั้นแน่นอนว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมเต็งที่จะชนะ ซัลซ์บวร์ก แต่อย่าลืมว่าคู่แข่งจากออสเตรีย เป็นของแสลงของ “หงส์แดง” เช่นกัน เพราะเกมแรกพวกเขาต้องหืดจับกว่าจะชนะด้วยสกอร์ 4-3 (นำไปก่อน 3-0 และโดนตีเสมอ 3-3)
ที่สำคัญลิเวอร์พูลต้องจับตา โดมินิค โซบอสไล, ฮวาง อี ชาน, ทาคูมิ มินามิโนะ และ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ เอาไว้ให้ดี เพราะหากพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที งานนี้ “หงส์แดง” อาจจะน้ำตาตกได้